"ศักดิ์สยาม" ขีดเส้นสอบเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อ 33 ล้านบาท
“ศักดิ์สยาม” เซ็นตั้ง “รองปลัดฯ คมนาคม” นั่งหัวโต๊ะสอบข้อเท็จจริงเปลี่ยนป้ายชื่อ “สถานีกลางบางซื่อ” 33 ล้านบาท ขีดเส้น 15 วัน ส่งผลสอบ
ช่วงวันที่ 4 เดือนมกราคม66 นาย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงนามในคำสั่งกระทรวงคมนาคม ที่ 5/2566 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาข้อเท็จจริงการก่อสร้างในโครงงานปรับปรุงแก้ไขป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อ เป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีใจความว่า
ด้วยปรากฏข้อมูลทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) อาทิเช่น เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ แล้วก็เว็บไชต์ผู้จัดการออนไลน์ เกี่ยวกับการลงนามในสัญญาจ้างการก่อสร้างโครงงานแก้ไขป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อ เป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีมูลค่ามากถึง 33 ล้านบาทเศษ (วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร จำนวน 34 ล้านบาท) มีราคากลางคำนวณ ณ วันที่ 7 เดือนธันวาคม 2565 จำนวน 33,169,726.39 บาท โดยใช้วิธีการจัดซื้อหรือจ้างแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วก็ราคาที่ต้องซื้อหรือจ้าง ได้แก่ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ เป็นเหตุให้มีการตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณ รวมถึง นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพราะไม่ใช่เหตุของความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ โดยใช้วิธีการว่าจ้างเอกชนด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสูญเสียงบประมาณในการว่าจ้างปรับปรุงป้ายชื่อ ที่มีมูลค่าสูงเกินกว่าปกติ ทั้งนี้ ถ้าหากดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยวิธีการประกาศเชิญชวน หรือวิธีการคัดเลือกก่อนจะทำให้การใช้งบประมาณของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการดังกล่าวว่า ได้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร และการใช้งบประมาณเหมาะสมกับปริมาณงานและราคากลางของกรมบัญชีกลางหรือไม่ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาลและก็รักษาผลประโยชน์ของชาติ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2494 ตั้งคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงการก่อสร้างในโครงงานปรับปรุงแก้ไขป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อ เป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แล้วก็ตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ศักดิ์สยาม เซ็นชื่อแต่งตั้ง รองปลัดฯ คมนาคม นั่งหัวโต๊ะสอบข้อเท็จจริง โดยมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้
1. นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ประธานกรรมการรองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง)
2. นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง
3. ผู้แทนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย รองประธานกรรมการโดยมีกรรมการ ประกอบด้วย
4. ผู้แทนสภาสถาปนิก
5. ผู้แทนสภาวิศวกร
6. ผู้แทนกรมบัญชีกลาง
7. ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
8. ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงานเลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
9. ผู้อำนวยการกองกฎหมาย ผู้ช่วยเลขานุการกรมการขนส่งทางราง
10. ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ช่วยเลขานุการ
โดยให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่และอำนาจในการรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย รวมทั้งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีความเห็นว่า เป็นประโยชน์แก่การตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณีที่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใดที่กล่าวอ้างหรือพาดพิงถึงบุคคล เอกสาร หรือวัตถุใดที่จะเป็นประโยชน์แก่การตรวจสอบข้อเท็จจริงให้คณะกรรมการฯ ทำการตรวจสอบ และรวบรวมพยานหลักฐานนั้นไว้ให้ครบถ้วน หากไม่อาจเข้าถึงหรือได้มาซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าว ให้บันทึกเหตุนั้นไว้ด้วย รวมทั้งให้คณะกรรมการเรียกบุคคลใดมาเป็นพยาน เพื่อชี้แจงหรือให้ถ้อยคำตามวัน เวลา และก็สถานที่ที่กำหนดไว้ได้ ตลอดทั้งการพิจารณาทำความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมจัดทำรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาภายใน 15 วัน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2566
33 ล้าน แพงไปมั้ย? เปลี่ยนป้ายสถานีกลางบางซื่อ แนะการรถไฟฯ แจงขั้นตอนตรงไปตรงมา
นายสราวุธ สราญวงศ์ เปิดเผยว่า สถานีกลางสร้างเสร็จแล้วในเดือนเมษายน 2564 เปิดใช้เป็นทางการเมื่อ 12 ส.ค. 2564 ไม่มีปัญหาเรื่องชื่อ แต่ติดใจจากประเด็นที่มีการรับจ้างทำป้ายในราคา 33 ล้าน สงสัยว่ามีกระบวนการอย่างไร จึงไปค้นหาข้อมูล ปรากฏว่ามีการทำคำสั่งเรื่องจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งต้องเป็นความจำเป็นเร่งด่วน จึงตั้งข้อสงสัยว่า ใช้วิธีการแบบนี้แล้วเป็นราคา 33 ล้านบาท มันสูงเกินไปไหม มีคู่เทียบ หรือการดำเนินการตามขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ด้านนายประภัสร์ จงสงวน พูดว่า เข้าใจว่าเป็นกฎหมายใหม่ ด้วยเหตุว่าแก้ในปี 2560 ซึ่งในช่วงเวลาที่ตนดำรงตำแหน่ง ไม่มีคำว่า “เฉพาะเจาะจง” คงจะสื่อถึงการที่ชี้เอาใครก็ได้ ในทางปฏิบัติก็สื่อไปในทางนั้น ได้ข่าวว่าคณะกรรมการจัดจ้างมีการสอบถามบริษัท 3 ราย จึงอยากทราบว่ามีเอกสารไปสอบถามทั้ง 3 รายไหม แล้วเขาตอบกลับมาเช่นไร ส่วนเอกสารที่การรถไฟฯ แจ้งออกมา ยังไม่เพียงพอที่จะให้เสนอราคาแบบถูกต้องได้ ไม่มีรายละเอียดเลย เพราะว่าผู้ที่เสนอราคาจะต้องรู้ว่าต้องทำอะไร
เรื่องนี้ทางผู้บริหารต้องเป็นคนชี้แจงเอง ถามตนแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาเลย ถ้าเกิดมีการจัดโต๊ะแถลง ชี้แจงสื่อ เนื่องจากมีประเด็นเรื่องด่วนที่สุด พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการกลาง อ้างเหตุผลต่างๆ ในส่วนนี้ต้องมีข้อมูลเฉพาะ ว่าใช้กฏเกณฑ์อะไรเลือกบริษัทเป็นผู้รับจ้าง กระบวนการจ้างบริษัท และราคากลางที่ตั้งเปรียบเทียบแบบไหน ซึ่งตัวเองนั้นไม่ติดใจเรื่องราคา
หากการรถไฟแสดงความจริงใจ เอาคนที่เกี่ยวข้องมานั่งชี้แจง แต่การที่อธิบายทางออนไลน์ มันไม่สามารถที่จะตอบคำถามได้ แล้วที่เขียนมา คนธรรมดาทั่วไปอ่านยิ่งเกิดคำถาม ถ้าหากดูตามเนื้องานราคาก็ถึงขนาดนั้นได้ แต่มีข้อจำกัดทางข้อมูลที่ได้มา ยกตัวอย่างเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตกลงราคาที่เซ็นสัญญากันคือเท่าไรกันแน่ เนื่องจากยิ่งดูแล้วยิ่งสับสน ทางที่ดีจัดตั้งโต๊ะแถลงข่าว เชิญสื่อทุกสำนัก ใช้ดูเอกสารทุกอย่างเลย น่าจะเป็นการการปัญหาได้เด็ดขาดที่สุด เพื่อไม่ให้การรถไฟฯ เสียชื่อ
ด้านนายสราวุธ เผยว่า จะถามว่าถูกหรือแพง พอกระบวนการไม่มีคู่เปรียบเทียบว่าราคาถูกหรือแพง จึงเกิดข้อสังสัยว่าสรุปราคาถูกหรือแพงด้วยเหตุว่าไม่สามารถเทียบได้ เลยอย่างเสนอให้ทางการรถไฟฯ ออกมาอธิบาย หากมีการตั้งคำถามหรือตอบข้อสงสัยต่างๆ ก็จะให้ความกระจ่างได้ ที่สำคัญคือเป็นการแสดงหลักธรรมมาภิบารในการใช้งบประมาณรัฐให้มีความคุ้มค่า ประเด็นนี้มองว่าราคาจะแพงหรือไม่แพง ถ้าเกิดมีการชี้แจงถึงขั้นตอนที่มีความตรงไปตรงมา มีขั้นตอนก็จะเข้าใจได้ สิ่งสำคัญคืออยู่ที่กระบวนการที่การรถไฟอ้างว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้วิธีเฉพาะเจาะจงเพราะอะไรให้สังคมได้รับทราบ
ซึ่งนายประภัสร์ เผยว่า ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนจริง ก็ควรจะเสร็จตั้งแต่ก่อนเซ็นสัญญา ด้วยเหตุว่าหนังสือที่ผู้ว่าฯ สั่งการตั้งแต่ 27 กันยายน ถ้าหากจะทำจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้ด้วยเหตุว่าทุกอย่างมีพร้อมอยู่แล้ว จนกระทั่งปลายปี และก็เอาเหตุที่ไม่ควรเป็นเหตุทำให้เดือดร้อนประชาชน ด้วยเหตุว่าการปิดเฉพาะรถขบวนยาวที่หัวลำโพงในวันที่ 19 เดือนมกราคม 66 เป็นการทำให้คนยากจนเดินทางลำบาก ควรเตรียมเรื่องเหล่านี้ให้เรียบร้อย
กรณีที่การรถไฟฯ แถลงผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก
นายสราวุธ เปิดเผยว่า รับฟังได้ระดับหนึ่ง หากมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวคงจะมีความเหมาะสม รวมทั้งได้ข้อความที่ชัดเจนมากกว่า เพราะถ้าเกิดอธิบายเป็นหนังสืออย่างงี้ ไม่มีโอกาสที่ผู้เกี่ยวข้องจะสอบถามได้ เพราะเหตุว่าไม่มีข้อมูลอะไรมาเปรียบเทียบ
ส่วน นายประภัสร์ พูดว่า อธิบายไม่ตรงประเด็น ด้วยเหตุว่าคนสงสัยราคาและวิธีการได้มาของผู้รับเหมา พออ้างอิงว่าไปสืบราคามา ดังนั้นก็ต้องมีเอกสารข้อมูลในการสืบราคามา ก่อนได้เป็นราคากลางมา 34 ล้านบาท จึงเป็นคำถามว่าได้ 34 ล้านมาจากอะไร เนื่องจากว่าถามตนแล้ว ถ้าหากเห็นเอกสารแค่นั้น ก็บอกไม่ได้ว่าคิดราคาเท่าไร
ในขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รับธรรมนูญไทย เผยว่า คิดว่าเป็นการดำเนินการที่ขัด พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง เพราะทุกกลุ่มบริษัทก็ทำได้ จึงไม่ต้องมีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดจ้างแบบวิธีการจำเพาะเจาะจง แต่เงื่อนไขที่ รฟท. แถลงออกมาไม่ได้เข้าเงื่อนไขเลย หากเปิดให้มีการประมูลแข่งขันเป็นธรรม น่าจะได้ราคาที่ถูกลง ตนมองว่า 33 ล้านมันแพงไป ดูตามสเปกแล้วบริษัททั่วไปเขาก็ทำได้ ทั้งนี้จะให้ตรวจสอบคณะกรรมการผู้กำหนดราคากลางด้วย โดยจะใช้วิธีการยื่นให้ สตง.ตรวจสอบเบื้องต้น ถ้าเกิดมีพิรุธมากกว่านี้ก็ให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อ
สุดท้าย นายประภัสร์ กล่าวว่า ตนเองเห็นตรงกันเรื่องกระบวนการได้มาในการจัดซื้อป้าย หากต้องเหตุผล ถ้าเกิดผู้บริหารจัดแถลงข่าวเอาทุกอย่างเปิดเผยต่อสื่อ ถ้าเกิดทุกอย่างยังคลุมเครือ แล้วให้ประชาสัมพันธ์ทำแบบนี้ จะกลายเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง อ่านแล้วยิ่งสร้างความสงสัยในหลายๆ เรื่อง ดังนั้นต้องพิจารณาว่าการใช้ประชาสัมพันธ์ทำอย่างนี้มันถูกต้องหรือไม่